แสดง ตามที่ เกจิอาจารย์ ยุคนี้ และ ที่นิยมกันทั่วไป
ตัดสินจากอภิธรรม
สัมมาอรหัต เป็น สมาธิ พุทธานุสติ แต่มีประโยชน์ ใกล้มรณสันวิถี พานำเกิดไปสวรรค์
พุทธโธ เหมือน สัมมาอรหัต
เป็นสมาธิ ทั้ง 2 แบบ แต่สมาธิ ข่มนิวรณ์ 5 ปัญญาย่อมพิจารณา 1.รูป-นาม สติเห็นชัด
2. ปัจจปริคห ปัจจัย การเกิด ท่าทางยืน (อิริยาบถ) ท่าทางเคลื่อนไหว(สัมปชัญญะ) จิตกำลังเป็นโลภ(ความอยาก,ชอยใจ,เพลิดเพลิน) จิตดำริประการต่างๆ(สรุปแบบจิตตานุปัสสนา) กาย-จิต นาม-รูป
ยุบหนอ พองหนอ อานาปาน ส่วนที่ 3 จากทั้งหมด 4 ขั้น ต้องตั้งใจเรียนถึงจะปฏิบัติถูก จงถือธรรมและวินัยเป็นศาสดาแทนเรา มิใช่หรือ
ดูลมหายใจ
เดินจงกรม
นั่งหลับเจริญ สมาธิ วิปัสสนา
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562
สัมมา...อรหัต , พุทธ..โธ ขุมทองจากอดีต
เราท่านทั้งหลายทราบ บท กรรมฐานนี้ดี จากหลายอาจารย์ จากอดีต สู่ ปัจจุบัน
สัมมา...อรหัต , พุทธ..โธ
ตามกรรมฐาน กล่าวได้ว่าเป็นส สมถะ 40 ชื่อว่า อนุสติ10 พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
ในความเห็นส่วน ตัว
สิ่งนี้มีประโยชน์ ในการนำไปสู่ ภพใหม่เวลาใกล้ ตาย เมื่อ คนสวนมาก เจริญแบบนี้ เวลาใกล้ตายจึงง่ายดาย ที่ จะละลึกนึกถึงได้ (ในสมัย 24--) การค้นคว้า ในพระไตรปิฎก ยังไม่แพร่หลาย เท่า สมัย google เท่าทุกวันนี้ เมื่อยังไปนิพานไม่ได้ ก็ไป พักกันบนสวรรค์ ก่อน
>>>ปรมาจารย์ สวรรค์<<<
https://buddhaf-sati4.blogspot.com/p/6-8-3.html
>>กุญแจทอง-คล้องสวรรค์<<
https://buddhaf-sati4.blogspot.com/2019/07/blog-post.html
สัมมา...อรหัต , พุทธ..โธ
ตามกรรมฐาน กล่าวได้ว่าเป็นส สมถะ 40 ชื่อว่า อนุสติ10 พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
ในความเห็นส่วน ตัว
สิ่งนี้มีประโยชน์ ในการนำไปสู่ ภพใหม่เวลาใกล้ ตาย เมื่อ คนสวนมาก เจริญแบบนี้ เวลาใกล้ตายจึงง่ายดาย ที่ จะละลึกนึกถึงได้ (ในสมัย 24--) การค้นคว้า ในพระไตรปิฎก ยังไม่แพร่หลาย เท่า สมัย google เท่าทุกวันนี้ เมื่อยังไปนิพานไม่ได้ ก็ไป พักกันบนสวรรค์ ก่อน
>>>ปรมาจารย์ สวรรค์<<<
https://buddhaf-sati4.blogspot.com/p/6-8-3.html
>>กุญแจทอง-คล้องสวรรค์<<
https://buddhaf-sati4.blogspot.com/2019/07/blog-post.html
แผนที่ทางลัด สู่ นิพาน .................... (เขียนโดย ศิษย์มัชณิมโท)
แต่การต่อสู้ กับกิเลส ไม่มีทางลัด ..............ถ้าท่านไหนไม่เข้าใจบางคำ ก็ฟังๆๆๆ ไว้ก่อน
เมื่อกิเลส ตรึงเราอยู่ทุกลมหายใจ
โลภะ (ครอบครองทั้วน่านฟ้าความคิด)
โทสะ(ครอบครองบางสิ่งที่ไม่พอใจ)
โมหะ (ครอบครอง เจตสิก 7 ตัว เจ็ดนครใหญ่ เกิดกับทุกขณะจิต ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกคตา ชีวิตินทรี มนสิการ)
จิต(คือราชา) + เจตสิก 7(เสนาบดีทั้ง 7)
ป้ญญาเจตสิก (มหาฤาษีทรงภูมิปัญญา )
แผนที่ทางลัด สู่นิพาน
ตัวเราประกอบด้วย จิต1 + เจตสิก52 และ รูป28
นิวรณ์ ขวางปัญญา ไว้ไม่ให้มีกำลัง
กิเลสมีประมาณ 10 ชนิด
แรกสุดเราท่านต้องตามหาปัญญา ..............(หาประมาณ 10 ปี)ถึงรู้ว่าต้องแบบนี้
เอาในเรื่องก่อน
ปัญญา มองหาไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ,ทุกขัง , อนัตตา ) วิปัสสนาญาณ 4
แยกรูป (ด้วยอาการแบบนี้)
กายนุสติ อริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน และ สัมปชัญบท อริยาบทย่อย ก้าว เดิน คู้ เยียด เป็นต้น
อันนี้นอกเรื่อง ของปัญญา
ในเจตสิก 52 จะมีเจตสิก ดวง 1 ชื่อว่า ปัญญาเจตสิก อันนี้ละปัญญาที่ตามหากัน
ปัญญาเกิด ในมหากุศล ทั้ง 8
ปัญญาสามารถ เกิดกับสมาธิ ได้ด้วย
ปัญญาเกิดในมานสิการไว้ โยนิโสไว้
ถ้าอาจารย์ บอกว่า เราสามารถ แยก เวทนา,สัญญา ได้ อาจารย์ท่าน นั้น ตกจากสภาวะที่แท้จริงแล้ว
เมื่อกิเลส ตรึงเราอยู่ทุกลมหายใจ
โลภะ (ครอบครองทั้วน่านฟ้าความคิด)
โทสะ(ครอบครองบางสิ่งที่ไม่พอใจ)
โมหะ (ครอบครอง เจตสิก 7 ตัว เจ็ดนครใหญ่ เกิดกับทุกขณะจิต ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกคตา ชีวิตินทรี มนสิการ)
จิต(คือราชา) + เจตสิก 7(เสนาบดีทั้ง 7)
ป้ญญาเจตสิก (มหาฤาษีทรงภูมิปัญญา )
แผนที่ทางลัด สู่นิพาน
ตัวเราประกอบด้วย จิต1 + เจตสิก52 และ รูป28
นิวรณ์ ขวางปัญญา ไว้ไม่ให้มีกำลัง
กิเลสมีประมาณ 10 ชนิด
แรกสุดเราท่านต้องตามหาปัญญา ..............(หาประมาณ 10 ปี)ถึงรู้ว่าต้องแบบนี้
เอาในเรื่องก่อน
ปัญญา มองหาไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ,ทุกขัง , อนัตตา ) วิปัสสนาญาณ 4
แยกรูป (ด้วยอาการแบบนี้)
กายนุสติ อริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน และ สัมปชัญบท อริยาบทย่อย ก้าว เดิน คู้ เยียด เป็นต้น
อันนี้นอกเรื่อง ของปัญญา
ในเจตสิก 52 จะมีเจตสิก ดวง 1 ชื่อว่า ปัญญาเจตสิก อันนี้ละปัญญาที่ตามหากัน
ปัญญาเกิด ในมหากุศล ทั้ง 8
ปัญญาสามารถ เกิดกับสมาธิ ได้ด้วย
ปัญญาเกิดในมานสิการไว้ โยนิโสไว้
ถ้าอาจารย์ บอกว่า เราสามารถ แยก เวทนา,สัญญา ได้ อาจารย์ท่าน นั้น ตกจากสภาวะที่แท้จริงแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2562
การนับ ห้วงเวลา
เวลาอ้างอิง ในอดีต บ้าง อนาคตบ้าง บางครั้งยาวนาน จนไม่ทราบจะ นับอย่างไร
เช่น พุทธธันดร
(ช่วงเวลาที่โลกว่างพระพุทธศาสนา คือ ช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสูญสิ้นไป และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ.)
อายุกัปป์ (หมายถึงอายุมนุษย์ที่เกิดช่วงนั้นก็ได้)
อสงไขกัปป์ เกี่ยวกับ พรหม ที่อายุยืดยาว
อายุโลก (แบ่ง เป็น 4 ส่วน เราสามารถ มาเกิดได้ 1 ส่วนเจริญสุด ตอนนี้ อยู่ 12-13 จาก 64 ส่วน)
พระพุทธเจ้าเรา บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย์ กับ แสนกัลป์
>>มุนีนาถทีปนี<<
https://docs.google.com/file/d/0B9GGgsaIOUyKYUFlSHJhMVloRFk/edit
เช่น พุทธธันดร
(ช่วงเวลาที่โลกว่างพระพุทธศาสนา คือ ช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสูญสิ้นไป และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ.)
อายุกัปป์ (หมายถึงอายุมนุษย์ที่เกิดช่วงนั้นก็ได้)
อสงไขกัปป์ เกี่ยวกับ พรหม ที่อายุยืดยาว
อายุโลก (แบ่ง เป็น 4 ส่วน เราสามารถ มาเกิดได้ 1 ส่วนเจริญสุด ตอนนี้ อยู่ 12-13 จาก 64 ส่วน)
พระพุทธเจ้าเรา บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย์ กับ แสนกัลป์
>>มุนีนาถทีปนี<<
https://docs.google.com/file/d/0B9GGgsaIOUyKYUFlSHJhMVloRFk/edit
ความหมายของกัลป์
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ อธิบายคำว่า กัลป์ ไว้ว่า “กาลกำหนด, กำหนดอายุของโลก, ระยะเวลายาวนานเหลือเกินที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักรวาลประลัยครั้งหนึ่ง ท่านให้เข้าใจด้วยอุปมาว่า เปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูง ด้านละ 1 โยชน์ ทุก 100 ปี มีคนนำผ้าเนื้ออย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวนานกว่านั้น” (พระพรหมคุณาภรณ์, 2551: 10)
ประเภทของกัลป์
พระพรหมคุณาภรณ์ (2551: 10-11) อธิบายคำว่า กัลป์ ซึ่งได้แก่ มหากัลป์ อสงไขยกัลป์ อันตรกัลป์ สุญกัลป์ และอสุญกัลป์ ว่า
1. มหากัลป์ กัลป์ใหญ่ คือ กำหนดอายุของโลกอันหมายถึงสกลพิภพ
2. อสงไขยกัลป์ คือ กัลป์อันนับเวลามิได้ คือ ส่วนย่อยแห่ง 4 มหากัลป์ ได้แก่
- สังวัฏฏกัลป์ กัลป์เสื่อม คือ ระยะกาลที่โลกเสื่อมลงจนถึงวินาศ
- สังวัฏฏฐายีกัลป์ ระยะกาลที่โลกพินาศแล้วทรงอยู่
- วิวัฏฏกัลป์ กัลป์เจริญ คือ ระยะกาลที่โลกกลับเจริญขึ้น
- วิวัฏฏฐายีกัลป์ คือ ระยะกาลที่โลกเจริญแล้วทรงอยู่
3. อันตรกัลป์ คือ กัลป์ในระหว่าง ได้แก่ ระยะกาลที่หมู่มนุษย์เสื่อมจนส่วนใหญ่พินาศแล้ว ส่วนที่เหลือดีขึ้นเจริญขึ้นและมีอายุยืนยาวจนถึงอสงไขย แล้วกลับทรามเสื่อมลง อายุสั้นลง จนเหลือเพียงสิบปีแล้วพินาศ ครบรอบนี้เป็นอันตรกัลป์หนึ่ง 64 อันตรกัลป์เป็น 1 อสงไขยกัลป์
4. สุญกัลป์ กัลป์ที่ว่างเปล่า คือ กัลป์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ (รวมทั้งไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธสาวกและพระเจ้าจักพรรดิราชด้วย)
5. อสุญกัลป์ กัลป์ไม่สูญ คือ กัลป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ มี 5 ประเภทคือ
- สารกัลป์ (กัลป์ที่มีสาระขึ้นมาได้โดยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ) คือ กัลป์ที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ 1 พระองค์
- มัณฑกัลป์ (กัลป์เยี่ยมยอด) คือ กัลป์ที่พระพุทธเจ้าอุบัติ 2 พระองค์
- วรกัลป์ (กัลป์ประเสริฐ) คือ กัลป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ 3 พระองค์
- สารมัณฑกัลป์ (กัลป์ที่มีสาระเยี่ยมยอดยิ่งกว่ากัลป์ก่อน) คือ กัลป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ 4 พระองค์
- ภัทรกัลป์ (กัลป์ที่เจริญหรือกัลป์ที่ดีแท้) คือ กัลป์ที่พระพุทธเจ้าอุบัติ 5 พระองค์ (กัลป์ปัจจุบันที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ 5 พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ พระกัสสปะ พระโคตมะ ที่อุบัติแล้วและพระเมตไตรย์ที่จะอุบัติต่อไป)
สัตถันตรกัลป์ ทุพพิกขันตรกัลป์และโรคันตรกัลป์
ทั้งสัตถัน ทุกพิกขและโรคัน ล้วนสนธิกับคำว่า อันตรกัลป์ ซึ่งหมายถึง การวินาศของสัตว์โลกอันเนื่องมาจาก สัตถัน (อาวุธ) ทุพพิกขะ (ความอดอยาก) โรคะ (โรคภัยไข้เจ็บ) ระยะเวลาแห่งการเกิดการเกิดสัตถันตรกัลป์ โรคันตรกัลป์ และทุพพิกขันตรกัลป์ เมื่อมนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุขัย 10 ปี และเต็มไปด้วยกิเลส ซึ่งมีอยู่ 3 อย่าง คือ ราคะ โทสะ และโมหะ หากมนุษย์มีความกิเลสหนักไปในทางใด ก็จะบังเกิดเป็นไปในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1) สัตถันตรกัลป์สาเหตุของการเกิดสัตถันตรกัลป์ คือ เมื่อมนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุขัย 10 ปี เต็มไปด้วยโทสะ ความอาฆาตพยาบาทซึ่งกันและกัน การผูกเวรต่อกัน ไม่ยำเกรงเคารพในบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ ฆ่าผู้มีพระคุณ ล่วงประเวณี บิดา มารดา ญาติพี่น้องของตน บัดนั้นมนุษย์ทั้งปวงจึงหยิบอาวุธขึ้นประหัตประหารกันตายเกลื่อนแผ่นดิน มีระยะเวลา 7 วัน สัตว์ส่วนใหญ่ที่ตายไปบังเกิดในจตุราบายเพราะอำนาจของโทสะเป็นหลัก (กรมศิลปากร เล่ม 1 , 2520: 88)
2) โรคันตรกัลป์ สาเหตุของโรคันตรกัลป์ คือ เมื่อมนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุขัย 10 ปี เต็มไปด้วยราคะ โรคาพยาธิต่าง ๆ ก็บังเกิดแก่มนุษย์ สัตว์ทั้งหลายก็ล้มตายกลาดเกลื่อนทั่วแผ่นดินชมพูทวีป มีระยะเวลาการเกิด 4 เดือน สัตว์ที่ตายด้วยโรคันตรกัลป์ไปบังเกิดยังสวรรค์โดยมากเพราะเหตุที่มีเมตตาจิตต่อกัน (อานุภาพเมตตา) (กรมศิลปากร เล่ม 1 , 2520: 93)
3) ทุพภิกขันตรกัลป์สาเหตุของทุพภิกขันตรกัลป์ คือ เมื่อมนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุขัย 10 ปี เต็มไปด้วยโมหะ สัตว์ทั้งปวงก็ตายด้วยความอดอยากอาหารกลาดเกลื่อนไปทั่วแผ่นดินชมพูทวีป มีระยะเวลาการเกิด 7 เดือน สัตว์ที่ตายด้วยทุพภิกขันตรกัลป์ส่วนใหญ่ไปเกิดในเปตวิสัยเนื่องจากเต็มไปด้วยความอยากในอาหาร (กรมศิลปากร เล่ม 1 , 2520: 93)
ในพระไตรปิฎก จักวัตติสูตร ศาสนาพระพุทธเจ้าโคดมพระองค์ปัจจุบันมีอายุ 5000 ปี (คือ พ.ศ. 5000) เมื่อถึงเวลานั้นมนุษย์จะไม่รู้บาปรู้บุญ ทำอนาจารกับพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ ครูบาอาจารย์ตนเองประดุจสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์จะมีอายุขัยเพียง 10 ปี เมื่อมีอายุ 5 ปีจะสมรสเป็นสามี ภรรยากัน เมื่อนั้นจะบัง “สัตถันตรกัลป์” คือ การฆ่าฟันกันด้วยอาวุธ หยิบจับสิ่งใดก็เป็นอาวุธประหัตประหารซึ่งกันและกันอันเนื่องมาจากโทสะที่แรงกล้าเป็นสาเหตุ ระยะเวลาที่เกิดคือ 7 วัน บุคคลผู้มีปัญญาจะไม่หลบซ่อนตามป่าเขาเมื่อพ้น 7 วันแล้วก็ออกมาแล้วเห็นผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต่างพากันสมาน “กุศลกรรมบท 10 ประการ” อายุของลูกหลานพวกเขาเหล่านั้นจึงเจริญขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอสงไขยแล้วอายุลดลงมาเหลือ 80,000 ปีก็จะมีพระศรีอาริยเมตไตรย์ลงมาอุบัติพร้อมกับพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช
ไฟบรรลัยกัลป์
หรือกัลป์วินาศด้วยไฟ ในพระไตรปิฎก สัตตสุริยสูตร กล่าวถึงกัลป์วินาศด้วยไฟ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงสมัยที่มีพระอาทิตย์ขึ้น 7 ดวงว่า เมื่อเวลาล่วงไป ฝนไม่ตก พืชพรรณต่างๆ เหี่ยวเฉาตายไป จึงเกิดพระอาทิตย์ขึ้นดวงที่ 2 แม่น้ำลำคลองก็จะแห้งเหือดไปทั้งหมด เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 3 แม่น้ำปัญจมหานที คือ คงคา ยมมุนา อจิรวดี สรภูและมหิ จะเหือดแห้งไป เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 4 สระใหญ่ต่างๆ เช่น อโนดาต กุณาลา มันทกินิยะ เป็นต้น ก็จะเหือดแห้งไป เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 5 น้ำในมหาสมุทรจะเหือดแห้งไปเหลือเพียงนิดเดียวเท่านั้น เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 6 แผ่นดินทั้งหลายและเขาพระสุเมรุจะเกิดกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้น เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 7 จึงบังเกิดเปลวไฟเผาผลาญสรรพสิ่ง ไฟที่เผาผลาญนี้จะไม่มีเถ้าถ่านเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
คัมภีร์โลกทีปกสาร กล่าวถึงกัลป์วินาศด้วยไฟ ว่า 100,000 ปี ก่อนเกิดไฟบรรลัยกัลป์ เทวดาสวรรค์ฉกามาพจรชื่อ โลกพยุหะ นุ่งผ้าแดง พลางร้องไห้มาประกาศกับหมู่มนุษย์ว่าอีก 100,000 ปีจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ พวกท่านจงเร่งทำกุศลก็จะพ้นจากไฟบรรลัยกัลป์ เมื่อครบ 100,000 ปี ฝนไม่ตกเป็นระยะเวลานาน จึงเกิดพระอาทิตย์ขึ้นดวงที่ 2 แม่น้ำลำคลองก็จะแห้งเหือดไปทั้งหมด เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 3 แม่น้ำปัญจมหานที คือ คงคา ยมมุนา อจิรวดี สรภูและมหิ จะเหือดแห้งไป เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 4 สระใหญ่ต่างๆ เช่น อโนดาต กุณาลา มันทกินิยะ เป็นต้น ก็จะเหือดแห้งไป เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 5 น้ำในมหาสมุทรจะเหือดแห้งไปเหลือเพียงนิดเดียวเท่านั้น เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 6 แผ่นดินทั้งหลายและเขาพระสุเมรุจะเกิดกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้น เมื่อบังเกิดพระอาทิตย์ดวงที่ 7 จึงบังเกิดเปลวไฟเผาผลาญสรรพสิ่งไปจนถึงพรหมชั้นอาภัสสราไฟที่เผาผลาญนี้จะไม่มีเถ้าถ่านเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
กัลป์วินาศด้วยน้ำและลมผมจะไม่ขอกล่าวถึงเพราะเป็นไปในลักษณะเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นลมและน้ำเท่านั้น (ทั้งหมดนี้สกัดจากความรู้บางส่วนในวิทยานิพนธ์เรื่อง“ไตรภูมิฉบับหอสมุดแห่งชาติกรุงปารีส : ความสัมพันธ์ระหว่างคติพุทธกับพราหมณ์-ฮินดู” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวรรณคดีไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร. เสาวณิต วิงวอน เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา)
ในหัวข้อต่อไปผมจะอธิบายเกี่ยวกับยุคพระศรีอาริเมตไตรย์และคุณธรรมสำคัญที่เป็นปัจจัยให้มนุษย์มีอายุยืนหรือลดลงนั่นคือ “กุศลกรรมบท 10” และ “อกุศลกรรมบท 10”
เอกสารอ้างอิง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต). 2551. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. 2549. พระบาลีสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 10. กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
ธรรมปรีชา, พระยา. 2520. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ฉบับที่ 2 (ไตรภูมิฉบับหลวง) เล่ม 1. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)